
การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร
เชษฐา ทองยิ่ง | 25 กุมภาพันธ์ 2564
“...การเลือกตั้ง ส.ส. ของประเทศไทยมีทั้งการเลือกตั้งทางอ้อมและทางตรง การเลือกตั้งทางอ้อมมีขึ้นเพียงครั้งเดียว ได้แก่ การเลือกตั้งครั้งแรก เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน 2476...”
การเลือกตั้งเป็นหลักการสำคัญของการปกครองระบอบประชาธิปไตย โดยเปิดโอกาสให้ประชาชนซึ่งเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยให้มีสิทธิมีเสียงในการปกครองตนเอง โดยเลือกตัวแทนเข้าไปทำหน้าที่แทนตน
ภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นระบอบประชาธิปไตยในปี พ.ศ. 2475 ประเทศไทยจัดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) เป็นการทั่วไป รวมทั้งสิ้น 26 ครั้ง * ไม่นับการเลือกตั้งเพิ่มเติมในปี 2489 และ 2492 **

มูลเหตุที่นำไปสู่การเลือกตั้ง
จากประวัติศาสตร์การเลือกตั้ง พบว่าการจัดให้มีการเลือกตั้ง ส.ส. ขึ้นใหม่ในแต่ละครั้ง เกิดจากสาเหตุ 3 ประการ ได้แก่ สภาผู้แทนราษฎรครบวาระดำรงตำแหน่ง (3 ครั้ง) การยุบสภาผู้แทนราษฎร (13 ครั้ง) และ การยึดอำนาจหรือรัฐประหาร กรณีนี้จะประกาศยกเลิกรัฐธรรมนูญฉบับเดิมและทำการร่างฉบับใหม่ขึ้น เมื่อรัฐธรรมนูญใหม่มีผลใช้บังคับแล้ว จึงกำหนดให้จัดการเลือกตั้งขึ้น (10 ครั้ง)
การเลือกตั้งทางอ้อม
การเลือกตั้ง ส.ส. ของประเทศไทยมีทั้งการเลือกตั้งทางอ้อมและทางตรง การเลือกตั้งทางอ้อมมีขึ้นเพียงครั้งเดียว ได้แก่ การเลือกตั้งครั้งแรก เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน 2476 ตามบทเฉพาะกาลของรัฐธรรมนูญ 2475 กำหนดให้ระยะเริ่มแรก สภาผู้แทนราษฎรประกอบด้วยสมาชิก 2 ประเภท มีจำนวนเท่ากัน คือ สมาชิกประเภทที่ 1 มาจากการเลือกตั้ง และสมาชิกประเภทที่ 2 มาจากการแต่งตั้ง การเลือกตั้งครั้งนี้เป็นการเลือกตั้งสมาชิกประเภทที่ 1 ใช้วิธีการเลือกตั้งแบบทางอ้อม คือ ประชาชนจะไปใช้สิทธิเลือกผู้แทนตำบลก่อน จากนั้นผู้แทนตำบลที่ได้รับเลือกนั้น จะไปทำการเลือกตั้ง ส.ส. แทนประชาชนอีกขั้นหนึ่ง
การเลือกตั้งทางตรง
การเลือกตั้งที่เหลือตั้งแต่ครั้งที่ 2-26 ครั้งล่าสุด เป็นการเลือกตั้งทางตรงทั้งสิ้น โดยประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งจะไปใช้สิทธิออกเสียงลงคะแนนเลือก ส.ส. โดยตรงด้วยตนเอง ไม่ต้องกระทำผ่านบุคคลใด
การเลือกตั้งที่ได้ชื่อว่า “สกปรกที่สุดในประวัติศาสตร์”
ได้แก่ การเลือกตั้ง ส.ส. ครั้งที่ 7 เมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2500 พบว่า การเลือกตั้งเป็นไปโดยไม่สุจริตโปร่งใสหลายประการ อาทิ มีการใช้อำนาจแทรกแซงหรือบังคับให้ชาวบ้านเลือกผู้สมัครจากพรรครัฐบาล มีการทำร้ายฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองโดยแจกใบปลิวโจมตี ใช้กลวิธีแอบแฝงซ่อนเร้น โดยใช้คนเวียนเทียนกันลงคะแนน ที่เรียกว่า “พลร่ม” เมื่อปิดหีบแล้วมีการเอาบัตรลงคะแนนที่เตรียมไว้ใส่เข้าไป เรียกว่า “ไพ่ไฟ” มีการแอบเปลี่ยนหีบเลือกตั้งในที่ลับตาผู้คน อีกทั้งใช้เวลานับคะแนนเลือกตั้งนานถึง 7 วัน 7 คืนด้วยกัน ทำให้นิสิต นักศึกษาและประชาชนไม่ยอมรับผลการเลือกตั้ง จึงเดินขบวนประท้วง นำไปสู่การประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน ทั้งนี้ จอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรี ก็ได้ออกมายอมรับว่า การเลือกตั้งนั้นไม่บริสุทธิ์ และจะจัดให้มีการเลือกตั้งใหม่ ผู้ชุมนุมจึงสลายตัวไป เหตุการณ์ชุมนุมจึงยุติลง อย่างไรก็ตาม การเลือกตั้งครั้งใหม่มิได้จัดขึ้น เนื่องจากเกิดการรัฐประหารโดยจอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ เมื่อวันที่ 16 กันยายน 2500
การเลือกตั้งที่มีระยะห่างระหว่างกันนานที่สุด
การเลือกตั้งที่มีระยะห่างระหว่างการเลือกตั้ง 2 ครั้งติดต่อกัน นานที่สุด ได้แก่ การเลือกตั้ง ครั้งที่ 8 วันที่ 15 ธันวาคม 2500 และครั้งที่ 9 วันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2512 มีระยะห่างกันนานประมาณ 12 ปี เนื่องจากสภาผู้แทนราษฎรชุดที่มาจากการเลือกตั้ง ครั้งที่ 8 วันที่ 15 ธันวาคม 2500 ต้องสิ้นสุดลง โดยการรัฐประหารภายใต้การนำของจอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2501 ซึ่งได้ยกเลิกรัฐธรรมนูญฉบับเดิม และประกาศใช้ธรรมนูญการปกครอง 2502 ซึ่งบัญญัติให้มีสภาร่างรัฐธรรมนูญทำหน้าที่ร่างรัฐธรรมนูญฉบับถาวรขึ้นใหม่ ซึ่งใช้เวลายกร่างนานประมาณ 9 ปี จึงแล้วเสร็จในปี 2511 และประกาศใช้เป็นรัฐธรรมนูญ 2511 จากนั้น จึงกำหนดให้มีการเลือกตั้ง ส.ส. ขึ้นใหม่ ในครั้งที่ 9 เมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2512
การเลือกตั้งที่มีระยะห่างระหว่างกันน้อยที่สุด
การเลือกตั้งที่มีระยะห่างระหว่างการเลือกตั้ง 2 ครั้งติดต่อกัน น้อยที่สุด ได้แก่ การเลือกตั้ง ครั้งที่ 16 วันที่ 22 มีนาคม 2535 และครั้งที่ 17 วันที่ 13 กันยายน 2535 มีระยะห่างกันแค่ประมาณ 6 เดือน เนื่องจากภายหลังการเลือกตั้ง ครั้งที่ 16 วันที่ 22 มีนาคม 2535 ได้มีการเสนอชื่อพลเอก สุจินดา คราประยูร รองหัวหน้าคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ หรือ รสช. ที่ทำการรัฐประหารเมื่อปี 2534 ซึ่งไม่ได้เป็น ส.ส. หรือไม่ได้มาจากการเลือกตั้งให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี จึงถูกมองว่าเป็นการสืบทอดอำนาจ จนนำไปสู่การชุมนุมทางการเมืองเมื่อเดือนพฤษภาคม 2535 หรือที่เรียกกันว่า “พฤษภาทมิฬ” ทำให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก ต่อมาพลเอก สุจินดา คราประยูร ประกาศลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งนายอานันท์ ปันยารชุน เป็นนายกรัฐมนตรี และนำไปสู่การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญในหลายประเด็น ประเด็นหนึ่งที่เป็นสาเหตุของการชุมนุมทางการเมืองในครั้งนั้น ได้รับการแก้ไขเพิ่มเติมให้ “นายกรัฐมนตรีต้องมาจาก ส.ส.” จากนั้น นายอานันท์ ปันยารชุน ได้ประกาศยุบสภาผู้แทนราษฎร และจัดให้มีการเลือกตั้ง ส.ส. ขึ้นใหม่ ในครั้งที่ 17 เมื่อวันที่ 13 กันยายน 2535
การเลือกตั้งเป็นโมฆะ
ภายหลังการเลือกตั้ง ครั้งที่ 22 เมื่อวันที่ 2 เมษายน 2549 ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยให้การเลือกตั้งครั้งนั้นเป็นโมฆะ เนื่องจากเป็นการกระทำที่ฝ่าฝืนกฎหมาย สาเหตุมาจากพรรคไทยรักไทยขณะนั้นได้ว่าจ้างพรรคการเมืองขนาดเล็กให้ส่งผู้สมัครลงแข่งขันกับผู้สมัครรับเลือกตั้งของพรรคไทยรักไทย เพื่อหลีกเลี่ยงการที่จะต้องมีคะแนนเสียงไม่ถึงร้อยละ 20 ของผู้มีสิทธิเลือกตั้งในเขตนั้น จึงมีคำวินิจฉัยสั่งยุบพรรคไทยรักไทย และตัดสิทธิทางการเมืองกรรมการบริหารพรรค จำนวน 111 คน เป็นระยะเวลา 5 ปี ด้วย
การเลือกตั้งไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ
ได้แก่ การเลือกตั้ง ครั้งที่ 25 เมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2557 เนื่องจากเกิดการชุมนุมเคลื่อนไหวขัดขวางการสมัครรับเลือกตั้ง และขัดขวางการใช้สิทธิเลือกตั้ง โดยปิดคูหาลงคะแนนเลือกตั้ง ทำให้ประชาชนบางพื้นที่ไม่สามารถใช้สิทธิออกเสียงลงคะแนนได้ จึงไม่สามารถจัดการเลือกตั้งให้แล้วเสร็จทั่วประเทศได้ภายในวันเดียวตามที่กฎหมายกำหนด ศาลรัฐธรรมนูญจึงมีคำวินิจฉัยว่า พระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2556 ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ เพราะกำหนดให้มีการเลือกตั้งทั่วไปขึ้นแล้ว แต่ไม่สามารถจัดการเลือกตั้งให้แล้วเสร็จทั่วประเทศได้ภายในวันเดียว เมื่อพระราชกฤษฎีกาในส่วนที่เกี่ยวกับการเลือกตั้งไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ การเลือกตั้งครั้งนี้จึงถือว่าไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญด้วย